การสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีนแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การสอบ 汉语水平考试 (HSK) ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีนที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบันปรับปรุงระบบการสอบเป็น 3 ขั้น 9 ระดับ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือการสอบที่เรียกว่า 華語文能力測驗 (TOCFL) ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับของฝั่งไต้หวัน โดยแบ่งเกณฑ์ตามหลักของ CEFR
วันนี้จะมาแนะนำระบบการสอบระบบ TOCFL ค่ะ
TOCFL คืออะไร?
TOCFL คือข้อสอบวัดระดับทักษะภาษาจีน คล้าย ๆ กับ HSK แต่ TOCFL เป็นของฝั่งไต้หวัน โดยแบ่งระดับการสอบเป็น 3 ระดับ ได้แก่
A (Basic)
B (Intermediate)
C (Advance)

โดยข้อสอบที่เป็นข้อเขียนจะแบ่งเป็นพาร์ทการฟังและพาร์ทการอ่าน พาร์ทละ 50 ข้อ ใช้เวลาทำข้อสอบพาร์ทละ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาสอบรวมทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง (สอบแบบ CAT จะมีพาร์ทละ 35 ข้อ)
ปัจจุบันมีรูปแบบการสอบ 2 แบบ คือแบบฝนกระดาษคำตอบและแบบคอมพิวเตอร์ และผู้เข้าสอบยังสามารถเลือกข้อสอบแบบภาษาจีนตัวย่อ (Simplified Chinese) หรือภาษาจีนแบบตัวเต็ม (Traditional Chinese)
ใครควรสอบ TOCFL?
การสอบ TOCFL เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเรียนภาษาจีน หรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีนเพื่อนำผลคะแนนไปใช้เพื่อการสมัครเรียน สมัครทุนการศึกษา หรือสมัครงาน หรือจะสอบเพื่อดูระดับความสามารถทางภาษาของตัวเองเฉย ๆ ก็ได้เช่นกันค่ะ
จะสมัครสอบ TOCFL ได้อย่างไร?
ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบการจัดสอบ TOCFL อยู่ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย สามารถตรวจสอบประกาศเกี่ยวกับสนามสอบและช่วงเวลารับสมัครได้ที่เว็บไซต์ 國家華語測驗推動工作委員會
ค่าสอบในไต้หวันค่อนข้างแพงกว่าสนามสอบในต่างประเทศพอสมควรเลย ตอนที่ตัวเองไปสอบเมื่อปี 2023 จ่ายค่าสอบไป NT$2000 ซึ่งเป็นการสอบแบบ CAT (Computer Adaptive Test) ขณะที่ค่าสอบในไทยน่าจะไม่ถึง 1000 บาท (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการสอบแบบ paper-based)
แล้วก็มีการสอบพูด หรือเขียนต่างหากด้วยนะ แต่การสอบประเภทนี้ไม่ค่อยจัดที่สนามสอบต่างประเทศเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น โดยทั่วไปแล้วเวลาพูดถึงการสอบ TOCFL ก็จะหมายถึงการสอบฟังและอ่านค่ะ

จะเตรียมตัวสอบ TOCFL ได้อย่างไร?
อ้างอิงจากเอกสารแนะนำการสอบ TOCFL จากคณะกรรมการส่งเสริมการทดสอบภาษาจีนแห่งชาติ (國家華語測驗推動工作委員會) ผู้ที่ต้องการทดสอบภาษาจีนให้ผ่านในระดับต่าง ๆ ควรมีจำนวนชั่วโมงเรียนภาษาจีนขั้นต่ำ และคลังคำศัพท์อย่างน้อยดังนี้

ที่มา: 華語文能力測驗文宣(泰文版)
ดังนั้นผู้สอบควรประเมินตัวเองในขั้นต้นว่ามีทักษะภาษาจีนในระดับใด จะได้เลือกสอบในระดับที่สอดคล้องกับทักษะที่ตัวเองมีในขณะนั้นค่ะ
นอกจากนี้ ที่เว็บไซต์國家華語測驗推動工作委員會 ยังมีตัวอย่างข้อสอบให้ลองดาวน์โหลดมาฝึกทำ รวมถึงมีหนังสือเรียนที่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมตัวสอบด้วย
การสอบแบบ CAT เป็นอย่างไร?
หลังจากสมัครสอบเรียบร้อยแล้ว เมื่อใกล้ถึงวันสอบจะมีอีเมลแจ้งเตือน ให้เรานำบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต (ถ้าอยู่ที่ไต้หวันสามารถใช้บัตร ARC แทนได้) และปากกาหรือดินสอไปสำหรับจดโน้ต (เวลาทำข้อสอบฟัง)
การสอบแบบคอมพิวเตอร์ ค่อนข้างสะดวก เพราะว่าไม่ต้องฝนคำตอบ ไม่ต้องกลัวจะฝนเกินช่อง ลบไม่สะอาด ไม่ต้องกรอกข้อมูลเยอะแยะให้วุ่นวาย ฯลฯ แต่ข้อเสียก็คือ เลือกคำตอบแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ คือเลือกแล้วเลือกเลย ผ่านแล้วผ่านเลย คุณมีโอกาสยืนยันคำตอบครั้งเดียวเท่านั้น
พอกรรมการให้ทำข้อสอบ ก็ยกหูฟังขึ้นมา แล้วฟังคำอธิบายข้อสอบ จากนั้นก็เริ่มทำพาร์ทฟัง แบ่งเป็นข้อสอบแบบเลือกคำบรรยายรูป ฟังบทสนทนา หรือบทความ/ประกาศแล้วตอบคำถาม แต่ละข้อจะให้เวลาคิดเพียง 10 วินาที แล้วข้ามไปข้อถัดไปทันที ไม่ว่าผู้สอบจะเลือกคำตอบหรือไม่ก็ตาม

พอทำพาร์ทฟังเสร็จ ระบบก็โหลดพาร์ทอ่านมาให้ทำต่อ และให้เวลา 1 ชั่วโมง โดยแสดงเวลาที่เหลือที่มุมขวาบนของข้อสอบ ข้อสอบอ่านไม่จำกัดเวลาที่จะใช้ในการทำข้อสอบแต่ละข้อ แต่
- ต้องคุมเวลาให้อยู่ใน 1 ชั่วโมง
- กดเข้าข้อถัดไปแล้วจะย้อนกลับมาอีกไม่ได้
- คะแนนจะถูกหักอีกถ้าพาร์ทอ่านทำได้ไม่ถึง 25 ข้อใน 1 ชั่วโมงนั้น
เมื่อทำข้อสอบเสร็จ ระบบจะแสดงผลสอบให้เห็น ณ เวลานั้นทันที แต่ผลสอบอย่างเป็นทางการ จะประกาศผ่านทางเว็บไซต์ในอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ต่อมา สำหรับผู้ที่สอบผ่าน ก็จะมีใบรับรองผลคะแนนสอบส่งมาตามที่อยู่ที่ให้ไว้ตอนลงทะเบียนสอบ
ข้อดีและข้อเสียของการสอบแบบ CAT
ข้อดี
- สะดวก ไม่ต้องกรอกข้อมูลเยอะ เลือกคำตอบได้เร็ว
- ไม่ต้องกังวลเรื่องฝนเกินกรอบ ลบคำตอบไม่สะอาด
- เห็นคะแนนสอบทันทีหลังส่งคำตอบ
- ฝึกสมองดี (สำหรับคนที่ชอบความท้าทาย)
ข้อเสีย
- กดดันเรื่องเวลา โดยเฉพาะพาร์ทฟังที่มีเวลาให้เลือกคำตอบแค่ 10 วินาที
- ย้อนกลับไปแก้คำตอบในข้อที่ทำไปแล้วไม่ได้
- ห้ามสมาธิกระเจิง ถ้าข้อไหนที่ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ต้องทำสมาธิพร้อมรับข้อใหม่ทันที ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะรวนไปหมด
- ไม่เห็นข้อสอบข้อถัดไป ไม่มีการแอบชำเลืองดูข้อสอบข้อถัดไปเพื่อเตรียมตัวก่อน
วิธีดูผลสอบและควรสอบ TOCFL ให้ผ่านระดับไหน?

ผลสอบ TOCFL
หลังจากสอบผ่านเรียบร้อยแล้ว ประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็จะมีผลคะแนนส่งมาที่บ้าน (และมีเวอร์ชันไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ที่ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ที่เราลงทะเบียนสมัครสอบด้วย)
แต่ถ้าเป็นสนามสอบต่างประเทศจะมีเวอร์ชันไฟล์อิเล็กทรอนิกส์มั้ย อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ ต้องตรวจสอบกับหน่วยงานที่จัดสอบอีกทีค่ะ
สำหรับผลคะแนนจะมีส่วนที่แสดงผลแบบ Overall และแสดงผลแบบแยกพาร์ท และแสดงเกณฑ์ที่ผ่านตามระบบ CEFR คะแนน Overall จะอิงตามพาร์ทที่ได้ CEFR ต่ำสุด เช่นของเราที่ผ่าน Listening ที่ C2 แต่ผ่าน Reading ที่ C1 ก็จะได้คะแนน Overall ที่ C1 ค่ะ
ควรสอบให้ผ่านระดับไหน
ถ้าต้องการผลสอบวัดระดับเพื่อสมัครเรียน สมัครทุน หรือสมัครงาน ควรได้ขั้นต่ำที่ Overall B1 ถ้าได้มากกว่านี้ก็จะเป็นผลดีกับตัวเองมากขึ้นไปอีก เพราะการใช้ภาษาได้คล่อง หมายความว่าเราจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายตัวมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
ลองตั้งเป้าเล็ก ๆ ว่าอยากสอบให้ผ่านระดับไหน แล้วพยายามไปให้ถึงตรงนั้นกัน ส่วนใครที่กำลังอยากเตรียมตัวเพื่อสอบ TOCFL ก็สามารถติดต่อสอบถามคอร์สเรียนภาษาจีนได้ที่ห้องเรียนภาษาจีนกับเสี่ยวอิงนะคะ
Leave a Reply